มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา�และสำนักงานคณะกรรมการอิสลาม�ประจำจังหวัดสงขลา
ประวัติความเป็นมา
�������������ความคิดในเรื่องที่จะจัดสร้างมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา�และศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามจังหวัดสงขลาได้เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อปี�2534�โดย�นายอาศิส��พิทักษ์คุมพล�ประธานฯ�และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา�ในยุคก่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม
����������เพราะต้องการที่จะให้มี�มัสยิดกลางประจำจังหวัด�เฉกเช่นจังหวัดอื่น�ๆ�ในจังหวัดชายแดนภาคใต้�รวมทั้งเพื่อเป็นที่ทำการของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาอย่างเป็นเอกเทศ
���������จากแนวคิดดังกล่าวก็ถูกผลักดันไปสู่การปฏิบัติ�เมื่อประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา�ได้นำเสนอโครงการต่อนายนิพนธ์�บุญญภัทโร�ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา�(ในขณะนั้น)��ไปยังกรมการศาสนา�กระทรวงศึกษาธิการ�เมื่อปี�2534�แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ�เพราะไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
�������ทว่าความล้มเหลวในครั้งแรก�มิได้ทำให้คณะกรรมการฯ�เลิกล้มความตั้งใจ�ในทางตรงกันข้าม�ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้พยายามหาทางและโอกาสอยู่ตลอดเวลา�จนกระทั่งในปี�2542�ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา�ได้รับการแจ้งความจำนงจากกลุ่มบุคคล�5�ท่าน�คือ
-�นายอรุณ��หล้าดัม
-�นายอารีฟีน��นิยมเดชา
-�นายหมัดตะเหย็บ��บิลหมัด�
-�นายภูวดล��บิลยีหลี��
และนายสมนึก��สิยะโอ๊ะ
�������ซึ่งมีความประสงค์จะบริจาคที่ดิน�จำนวน�5�ไร่�บริเวณถนนลพบุรีราเมศวร์�ต.คลองแห�อ.หาดใหญ่�จ.สงขลา�เพื่อก่อสร้างมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา�จากนั้นคณะกรรมการฯ�จึงได้ประสานเป็นการภายในกับท่านพลากร�สุวรรณรัฐ�องคมนตรี�ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง�ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้��และคุณชูศักดิ์��มณีชยางกูร�ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนประสานราชการ�กรมการปกครอง�และขณะเดียวกันดำรงตำแหน่ง�ผช.ผอ.ศอ.บต.ด้วยอีกตำแหน่ง�เพื่อขอให้ผลักดันโครงการนี้เข้าสู่โครงการพัฒนาเฉพาะกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้��เพราะรัฐบาลจะให้ความสำคัญ
���������ปรากฏว่าการเสนอโครงการในครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทยและผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี��จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงปี�2543�ก็ยังไม่ปรากฏว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
���������ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาจึงได้ปรึกษาหารือกับคุณไพร�พัฒโน�นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่�ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง�เพื่อประสานงานเรื่องโครงการให้เป็นรูปธรรมต่อไป�ด้วยความหวังว่า�นี่จะเป็นหน้าเป็นตาและความภาคภูมิของประชาคมมุสลิมจังหวัดสงขลาต่อไปในอนาคต�
����������นายไพร�พัฒโน�นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่�ก็อาสาจะประสานให้�ในปีต่อมา�(2544)�ก็ได้รับการจัดสรรงบประมาณ�จำนวน�38.5�ล้านบาท�กระนั้นก็ตาม�ขณะที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ�จำนวน�38.5�ล้านบาทนั้น��ก็ยังไม่มีแบบแปลนที่จะก่อสร้างแต่อย่างใด��และด้วยความไม่เข้าใจในกระบวนการดำเนินการใช้งบประมาณ�จนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบสิ้นปีงบประมาณ��ก็ได้รับคำแนะนำจากส่วนประสานราชการ�กรมการปกครอง�ให้จัดทำแบบแปลน���คณะกรรมการฯ�จึงได้ติดต่อให้�อ.สถาพร�ศิริลิมป์�และ�อ.มานะ�ยืนตระกูล�สถาปนิก�ช่วยออกแบบ�โดยแบบแปลนที่ได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นอาคารขนาดใหญ่�3�ชั้น
������ประกอบด้วย...
�������������-��ชั้นล่างสุด�เป็นสถานที่จอดรถจุประมาณ�76�คัน
�������������-��ชั้นที่�2�เป็นที่ทำการสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา�และห้องประชุมอเนกประสงค์จุคนประมาณ�800�คน
�������������-��ชั้นที่�3�เป็นอาคารมัสยิดจุคนประมาณ�2,500��3,000�คน�
และบริเวณมัสยิดจะปรับปรุงภูมิทัศน์ให้มีสวนหย่อม�สระน้ำ�และมีน้ำตกไหลจากช่วงกลางบันไดลงสู่สระน้ำ���เป็นโจทย์ใหญ่ให้ทุกคนช่วยกันคิดว่า�จะทำอย่างไรดี�?�ครั้นจะดำเนินการในวงเงิน�38.5�ล้านบาท�โดยเขียนแบบขึ้นใหม่�ก็จะได้เพียงมัสยิดหลังเล็ก�ๆ�ไม่เหมาะกับความเป็นมัสยิดกลาง�ครั้นจะไม่สร้าง�งบประมาณก็ต้องตกไป����แล้วจะต้องทำเรื่องยื่นขอใหม่�ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!!!�จนในที่สุด...�ประธานคณะกรรมการฯ�ได้ประสานหารือ��กับ�ฯพณฯ�วันมูหะมัดนอร์�มะทา��ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม�โดยเล่ารายละเอียดทั้งหมด�
พร้อมทั้งขอคำแนะนำ�ท่านตัดสินใจในทันทีว่าได้งบประมาณมาตั้ง�38.5�ล้านบาท�มิใช่เรื่องง่ายเลย�จะปล่อยให้ตกไปได้อย่างไร?
������������การแก้ปัญหาในเบื้องต้นก็คือ....จัดสร้างตามแบบแปลนที่ออกแบบไว้ครั้งแรก���เมื่อเงินหมดก็ค่อยหาทางดำเนินการกันใหม่ต่อไป�ผมอยู่ในคณะรัฐบาลจะหาทางช่วยเหลือ�ขอให้ประธานฯ�ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด�โยธาธิการจังหวัด�วิศวกร�และสถาปนิกผู้ออกแบบ�ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาหารือกันที่����ห้องวีไอพีสนามบินหาดใหญ่ก่อนที่ผมจะเดินทางกลับยะลา
������������นี่คือคำพูดที่ท่านอาจารย์วันมูหะมัดนอร์��มะทา��พูดกับประธานฯ�อาศิส
ผลการหารือ�ทุกคนเห็นด้วยกับคำแนะนำของ�ฯพณฯ�รองนายกรัฐมนตรี��(นายวันมูหะมัดนอร์�มะทา)�โดยตกลงจะดำเนินการก่อสร้างโดยแก้ไขปรับปรุง�แบบแปลนให้ลงตัวในวงเงินงบประมาณ�38.5�ล้านไปก่อน�แล้วค่อยหางบเพิ่มเติมในส่วนที่ยังต้องปรับปรุงก่อสร้างต่อไป�ปัญหาก็จบลง
เมื่อปัญหาดังกล่าวจบลง�ปัญหาใหม่ก็เข้ามาแทนที่��เนื่องจาก�อ.มานะ��ยืนตระกูล�แจ้งว่าหากจะสร้างในที่ดิน�5�ไร่�ที่ได้รับบริจาคนั้น�ก็จะคับแคบไม่สามารถจัดภูมิทัศน์ให้สง่างามดังที่กำหนดไว้ได้�จะต้องใช้ที่ดินเพิ่มอีกอย่างน้อย�5�ไร่�รวมเป็น�10�ไร่�เพื่อภูมิทัศน์ที่สวยงามในอนาคต��ซึ่ง�ฯพณฯ�รองนายกรัฐมนตรี�(นายวันมูหะมัดนอร์�มะทา)�ก็เห็นด้วย�และขอให้ประธานฯ�และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยอมเป็นหนี้จัดซื้อที่ดินเพิ่มอีก�จำนวน�6�ไร่ครึ่ง�พร้อมทั้งซื้อขยายถนนทางเข้ามัสยิดด้วย�รวมเป็น�7�ไร่ครึ่ง�สนนราคาประมาณ�7�ล้านบาทเศษ
��������กล่าวสำหรับสถานะทางการเงินของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาแต่ละคนนั้น�ล้วนแล้วแต่เป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ�ไม่มีใครมีฐานะร่ำรวย�ทุกคนในชีวิตไม่เคยเห็นเงินจำนวนล้านมาก่อน�หากต้องแบกหนี้�จำนวน�7�ล้านบาทเศษ�ย่อมถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตอย่างแน่นอน��ทว่า�ด้วยคำยืนยันจาก�อ.วันมูหะมัดนอร์��มะทา��และด้วยกำลังใจที่ได้รับจากท่านประธานฯ�อาศิส��คณะกรรมการฯ�จึงยอมแบกรับภาระหนี้สินด้วยความเต็มใจ
�������ในที่สุด...จึงได้เริ่มการก่อสร้างขึ้นเมื่อปลายปี�2545���จะบอกว่า...�นี่เป็นการนับหนึ่งของการก่อสร้าง��ศูนย์รวมใจพี่น้องมุสลิมชาวจังหวัดสงขลา�อย่างเป็นทางการ�ก็คงจะไม่ผิดนักโดยมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา�ได้เริ่มตอกเสาเข็มต้นแรก��เมื่อวันที่�18�มกราคม�2545���มีความยาว�17�เมตร���จำนวน�433�ต้น
�������ซึ่งการก่อสร้างได้ดำเนินการในระยะที่�1��ตั้งแต่ปี�2544��2548�งานก่อสร้างโครงสร้างอาคารมัสยิดได้แล้วเสร็จเมื่อปี�2548
������ต่อมาเมื่อ�อ.วันมูหะมัดนอร์��มะทา�ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย�ก็ยังมีบทบาทสำคัญอีกครั้ง�เมื่อช่วยประสานและสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมอีก�5.2�ล้านบาท�สำหรับปรับปรุงห้องสำนักงาน,�ห้องประชุม�และระบบไฟฟ้า-สุขาภิบาลบางส่วน
������กระทั่ง�เมื่อวันที่�1�ตุลาคม�2546���นายสมพร��ใช้บางยาง��ได้ย้ายมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา���ซึ่งต่อมาในปี�2548�ก็ได้อนุมัติงบประมาณ�CEO�จำนวน�15.98�ล้านบาท�เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์�พร้อมกับถนนบริเวณทางเข้ามัสยิดกลางฯ�และถนนรอบ�ๆ��อาคาร���รวมทั้งได้รับงบประมาณผ่าน�อบจ.สงขลา�จำนวน�1.5�ล้านบาท��เพื่อปรับปรุงลานจอดรถ�และงบประมาณจากกรมส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่น�จำนวน�5�ล้านบาทเพื่อก่อสร้างห้องน้ำ�จากนั้นการก่อสร้างก็หยุดชะงักเพราะปัญหาเดิม�คือ�เงินไม่พอ
�����จนกระทั่ง�การมาของพ่อเมืองสงขลาที่ชื่อ�สนธิ��เตชานันท์�เมื่อ�15�พฤศจิกายน�2549���เป็นจุดเปลี่ยนแห่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้
ประโยคแรกที่ท่านกล่าวกับคณะกรรมการฯ�ที่ไปร่วมต้อนรับหลังจากทักทายและขอบคุณต่อกัน�นั่นคือ..
�����มาอยู่สงขลา�ผมรู้แล้วว่าสิ่งแรกที่ผมต้องทำคืออะไร?
������ท่านบอกว่า...
�����มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลาจะต้องสร้างให้เสร็จ�มิใช่แค่ความสง่างาม��แต่เป็นหน้าเป็นตา��เป็นความภาคภูมิใจให้พี่น้องมุสลิมทั่วทั้งภาคใต้
������นี่คือ...เจตนารมณ์ของท่านที่บอกกับประธานอาศิส�ในวันนั้น
�����ในเบื้องต้น.ท่านผู้ว่าฯ�สนธิ��เตชานันท์�ได้ประสานกับนายอำเภอทุกพื้นที่เพื่อรวบรวมเงินจากมัสยิดทุกอำเภอในจังหวัดสงขลา�ซึ่งได้มากบ้าง�น้อยบ้าง�แต่รวมทั้งหมดแล้วได้�3�ล้านกว่าบาท�ขณะเดียวกัน�กรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา�30�ท่าน�ก็ได้สมทบคนละ�1�แสนบาท�ได้มาอีก�3�ล้านบาท�ก่อนที่ท่านผู้ว่าฯ�สนธิ�ได้ประสานหางบประมาณจากทุกภาคส่วน�ปรากฏว่าในปี�2550�ได้รับงบเพิ่มเติมจากหน่วยงานต่าง�ๆ�เพื่อตกแต่งภายใน�ก่อสร้างหออาซาน�สระน้ำพุ�และปรับปรุงภูมิทัศน์��ดังนี้
-�ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้�(ศอ.บต.)��30�ล้านบาท
-�เทศบาลนครหาดใหญ่��10�ล้านบาท
-�เทศบาลนครสงขลา�10�ล้านบาท
-�องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา�10�ล้านบาท
-�บริษัท�ป.ต.ท.�จำกัด�(มหาชน)�5�ล้านบาท
-�การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย�5�ล้านบาท
-�สมาคมจีน�15�สมาคม�ในหาดใหญ่�5�ล้านบาท
-�สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา�3�ล้านบาท
-�มัสยิดต่าง�ๆ�ในจังหวัดสงขลา�3,805,117�บาท
���(รวมงบในการก่อสร้าง�ณ�ปัจจุบัน�รวมเป็นเงินทิ้งสิ้น�77,305,117�บาท)