ประวัติการเป็นมา และการจัดตั้งมัสยิด
ประมาณปี พ.ศ. 2497 นายวงศ์ ฤทธิ์ถากร ซึ้งท่านเป็นกำนันของตำบลวังหินในขณะนั้น ท่านก็ได้ชักชวนคนที่ท่านรู้จักให้มาอยู่ ซึ้งหนึ่งในนั้นก็มี นาย อัจยีลาเต๊ะ กายแก้ว ก็เข้ามาอยู่ด้วย และท่านก็ได้ชักชวนพักพวกพี้น้องของท่าน เข้ามาอยู่ด้วยประมาณ 5-6 กว่าครัวเรือน
ต่อมาไม่นานทางกรมที่ดินอำเภอทุ่งส่ง ได้จัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชนได้เข้ามาจับจอง โดยจัดสรรให้ครัวละประมาณ 25 ไร่ และมีประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามมาจับจองด้วย ซึ้งมาจากอำเภอท่าศาลา อำเภอเมือง อำเภอร่อนพิบูลย์ ได้มาอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ประมาณ 20 ครัวเรือน และได้ขอเว้นจากที่ดินจัดสรรนั้นเอาไว้ ประมาณ 60ไร่ เพื่อใช้เป็นศาสนสถานในการประกอบศาสนกิจในทางของศาสนา และสร้างบาลาย(สถานที่ทำละหมาดรวมกัน)
ต่อมา นาย ลาเต๊ะ กายแก้ว ซึ้งเป็นอิหม่ามในขณะนั้น ก็ได้เรียกประชุม ปรึกษา หารือกันว่า เราสมควรที่จะมาอยู่ร่วมกันใกล้ๆ ในสถานที่แห่งเดียวกัน เพราะสมัยนั้นเป็นป่ารกดึกดำบัน มีทั้งสัตย์ดุร้าย มีเสือ มีช้าง มีหมี ค่อยที่จะทำร้ายผู้คนได้ และลำบากในการที่จะสัญจรไปมา และเพื่อความเป็นปึกแผ่นกัน มีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันง่าย และสะดวกในการที่จะประกอบศาสนกิจในเรื่องของศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกอบศาสานกิจในวันศุกร์ฉะนั้นที่ประชุมก็ได้ลงมติกันว่า ให้มาอยู่ร่วมกันในที่ดินทีได้ขอยกเว้นเอาไว้ เพื่อเป็นศาสนสถานในการประกอบศาสนกิจในทางของศาสนา ซึ้งมีเนื้อที่ประมาณ 60ไร่ โดยปลูกเป็นหนำกระท่อม เพื่อเป็นที่พักอาศัยตอนกลางคืน ส่วนกลางวันก็ไปทำไร่ ทำสวนในที่ของตนเองที่ได้รับการจัดสรร แต่มีขอแม้ว่าจะไม่เอาที่อยู่นั้น มาเป็นกรมสิทธิของตนเอง
และต่อมาในปี พ.ศ. 2519 มีผู้คนมากขึ้น มีสัปบุรุษมากขึ้น ก็ได้ยกฐานะจากบาลาย มาตั้งเป็นมัสยิด มีอิหม่าม มีคอเต็บ มีบิหลั่น มีสัปบุรุษ เพื่อให้เป็นทางการ และได้ขอจดตั้งทะเบียนมัสยิด ต่อสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 โดยใช้ชื่อว่า มัสยิดยามาอาตุลมุสลีมีน(แปลว่าเป็นสถานที่การมารวมตัวกันของคนมุสลิม)ซึ้งได้ทะเบียนมัสยิดเลขที่ 86 ผู้ที่ขอทำการจดทะเบียนในขณะนั้นก็คือ
นาย หนุดดีน เยี่ยงกุลเชาว์ ซึ้งดำรงตำแหน่งเป็น อิหม่าม
นาย หล่อ ยะโกบ ซึ้งดำรงตำแหน่งเป็น คอเต็บ
นาย สอีด เมาะสง่า ซึ้งดำรงตำแหน่งเป็น บิหลั่น