ในย่านช้างเผือก เชียงใหม่ ริมถนนโชตนาที่คึกคักด้วยผู้คนและร้านค้า **มัสยิดดุน-นูร (ช้างเผือก)** ตั้งตระหง่านด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์อาหรับ
      บันทึกประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชุมชนมุสลิมกลุ่มแรกๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ มัสยิดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นสถานที่จดทะเบียนลำดับที่ 1 ของเมือง แต่ยังเป็นศูนย์กลางศรัทธาที่สะท้อนเรื่องราวการรวมตัวของชาวมุสลิมเชื้อสายปากีสถาน-อินเดีย และยูนนาน นับตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน  
#จากทุ่งเวสาลีสู่ชุมชนมุสลิมช้างเผือก  
     ย้อนไปมากกว่า 100 ปีก่อน  บริเวณ "ทุ่งเวสาลี" หรือช้างเผือกในยุคปัจจุบัน เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีสายน้ำจากห้วยแก้วและห้วยช้างเคี่ยนไหลผ่าน ทำให้เหมาะแก่การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ชาวมุสลิมกลุ่มแรกประมาณ 4-5 ครอบครัวเชื้อสายปากีสถาน-อินเดีย จึงอพยพมาปักหลักที่นี่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกชุมชนยังไม่มีมัสยิดถาวร การละหมาดวันศุกร์จึงต้องเดินทางไปร่วมพิธีที่ **มัสยิดช้างคลาน** ซึ่งอยู่ห่างออกไป  
#การก่อร่างสร้างมัสยิดแห่งแรก  
      ความเจริญคืบคลานเข้าสู่ย่านช้างเผือกเมื่อมีพ่อค้ามุสลิมเชื้อสายยูนนานและปากีสถานทยอยเข้ามาตั้งรกราก **ท่านนะปะซาง** หรือ "พ่อเลี้ยงเลานะ" ชายผู้มีฐานะและวิสัยทัศน์ คือผู้จุดประกายสร้างมัสยิดหลังแรกในปี พ.ศ. 2470 โดยเปลี่ยนจากโครงสร้างชั่วคราว (เสาไม้ไผ่ หลังคาใบตอง) มาเป็นอาคารไม้กระดานแข็งแรง ท่านยังดำรงตำแหน่งอิหม่ามคนแรกจนกระทั่งเสียชีวิต  หลังท่านเสียชีวิต ศพถูกฝังในบริเวณมัสยิดก่อนย้ายไปสุสานใหม่ในภายหลัง  
   #สามทศวรรษแห่งการสั่งสอนศรัทธา  
      หลังพ่อเลี้ยงเลานะถึงแก่กรรม ชุมชนได้เชิญ **ท่านโมลวีกายิมมาคิน** นักวิชาการศาสนาชาวปากีสถาน ผู้เชี่ยวชาญการอ่านกุรอานอย่างไพเราะ มาเป็นอีหม่ามต่อท่านนำพามัสยิดสู่ยุคทองด้วยการยึดมั่นหลักศาสนา ส่งเสริมการศึกษา และสร้างความสามัคคีในชุมชนนานถึง 30 ปี 
#มัสยิดถาวรหลังแรกก่ออิฐถือปูนสไตล์อินเดีย-ปากี: เอกลักษณ์ที่คงอยู่  
     พ.ศ. 2494 คณะกรรมการนำโดยฮัจญีศรีบุตร วารีย์ ตัดสินใจสร้างมัสยิดใหม่แทนอาคารไม้ที่ชำรุด ด้วยการระดมทุนจากชุมชน ผลลัพธ์คือมัสยิดก่ออิฐถือปูนหลังคาทรงกระโจม สไตล์ปากีสถาน สมบูรณ์ในปี 2496 ตัวอาคารมีลานกว้างสำหรับกิจกรรมชุมชน และยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ของมุสลิมอินเดีย-ปากีสถาน 
#มัสยิดดุน-นูร ในวันนี้  
ปัจจุบัน มัสยิดช้างเผือก ก่อสร้างขึ้นใหม่สไตล์อาหรับ รูปลักษณ์สวยงาม หลังใหญ่ก็ว่าเดิม พื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ประกอบด้วยชั้นใต้ดิน รวม 4 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมของชุมชน พื้นที่ปฏิบัติศาสนกิจ การเรียนการสอน ศาสนาและจัดกิจกรรมของชุมชน
       มัสยิดดูน-นูรช้างเผือกไม่เพียงเป็นสถานปฏิบัติธรรม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเชียงใหม่ ทุกวันศุกร์ เสียงอะซานยังดังก้อง เชื่อมโยงลูกหลานเชื้อสายปากีสถาน-อินเดีย และมุสลิมรุ่นใหม่ให้รวมตัวกัน ริมถนนโชตนาที่เปลี่ยนไป แต่ศรัทธายังคงเดิม